เทศน์พระ

ดินถล่ม

๑๒ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

ดินถล่ม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจเนาะ ตั้งใจตั้งสติไว้ รักษาใจของเรา แล้วกำหนดใจไว้เฉยๆ เสียงจะมากระทบเอง ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะ สัจธรรม เราบวชมา เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันนั้นเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดของพวกเรา

เราบวชกันมาเป็นพระ เราเป็นพระสงฆ์ แต่พระสงฆ์ของเราเป็นพระสงฆ์โดยสมมุติ สมมุติด้วยเกิดมาจากญัตติจตุตถกรรม เกิดมาจากธรรมวินัย บวชมาแต่ร่างกาย บวชมาตามประเพณีวัฒนธรรม แต่เรายังไม่ได้บวชหัวใจของเรา เราอยากจะบวชหัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุข ความสุขที่มันเลอเลิศ วิมุตติสุข สุขที่โลกคาดหมายไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ปรารถนาของชาวพุทธ ปรารถนาของชาวพุทธเพราะอะไร เพราะเวลาเราเกิดมา โดยสัจธรรมเราเกิดมานี่เวียนว่ายตายเกิด พอเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมานี่เกิดมาโดยไม่รู้สึกตัวขึ้นมาเลย เกิดมาแล้วอ้อแอ้ๆ นี่พ่อแม่บอกถึงจะได้รู้ไง

สิ่งที่เกิดขึ้นมาเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่ปรารถนานี่พ้นจากทุกข์ๆ พ้นจากทุกข์แล้วมันถึงเกิดวิมุตติสุข การว่าพ้นจากทุกข์จะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร? จะพ้นจากทุกข์มันต้องมีเหตุมีผล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร นี่เวลาเขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาจากใคร แล้วตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วตรัสรู้อย่างไร ตรัสรู้ได้ไงอธิบายให้เขาฟังได้ไง มันต้องมีที่มาที่ไป กว่าที่เราจะพ้นทุกข์ พ้นทุกข์มันต้องมีเหตุมีผลสิ ถ้าเราไม่มีเหตุมีผลเอาอะไรไปพ้นทุกข์ ถ้าพ้นทุกข์แล้วสิ่งที่ได้ผล สิ่งที่ได้มาจากการพ้นทุกข์นั้นด้วย คือวิมุตติสุขไง สุขจากการพ้นทุกข์ไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่พ้นทุกข์มันจะมีความสุขได้อย่างไร แล้วมันจะพ้นจากทุกข์ เห็นไหม

หัวใจเรา เราต้องดูแลหัวใจเรา ฟังธรรมๆ เพราะเหตุนี้ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้ยินมันผิวเผิน แล้วถ้าเราเป็นคนหยาบคนหนา มันฟังแล้วมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันฟังแล้วมันก็ผ่านไป มันฟังแล้วก็ฟังเล่า เขาบอกการฟังธรรมนี้แสนยาก การได้ฟังธรรมนี้แสนยาก ได้ฟังอะไร เราเปิดทุกวัน วิทยุนี่กระจายเสียงทุกวัน ๒๔ ชั่วโมง ฟังธรรมแสนยากที่ไหน

มันแสนยากต่อเมื่อเราเกิดในประเทศอันสมควร เรามาเกิดในประเทศของชาวพุทธด้วยกัน เวลาเขาเกิด เห็นไหม พวกมิจฉาทิฏฐิเขาเกิดในดินแดนอื่น เหยียบแผ่นดินผิด เขาได้ฟังไหม เขาไม่ได้ฟังสิ่งนี้ ไม่ได้ฟังนี่เราก็เจือจานเขาได้ ก็ส่งไปได้ เห็นไหม การฟังนี้แสนยาก การฟังเพื่อหัวใจให้มันเป็นธรรม ถ้าคนหนาคิดแบบนั้น เหมือนเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ เห็นไหม ถ้ามันเมล็ดพันธุ์ที่ดี เวลาไปปลูกแล้วเมล็ดพันธุ์ที่ดีมันจะให้ผลตามข้อเท็จจริงอันนั้น แต่เมล็ดพันธุ์ที่มันเสียหาย เมล็ดพันธุ์ที่มันเน่า เมล็ดพันธุ์ที่มันตายแล้ว ปลูกเท่าไหร่มันก็ไม่ขึ้น เมล็ดพันธุ์เขาต้องถนอมรักษา เพื่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ มันยังงอกได้เวลาเขาลงดินไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วรักษาที่ดี

เมล็ดพันธุ์ก็หัวใจเราไง ถ้าหัวใจของเราที่ดีมันมีเมตตาธรรม คนที่มีเมตตาธรรม มันเป็นจริตนิสัย เห็นไหม คนใจแข็ง คนใจอ่อน เวลาคนใจหยาบช้า ทำสิ่งใดก็ทำออกมาจากใจเขาทั้งนั้น เวลาทำออกมาจากใจ การแสดงออก พฤติกรรม มันแสดงออกถึงหัวใจ ถ้าหัวใจที่มีคุณธรรม จิตใจเป็นสาธารณะ มันเห็นประโยชน์สาธารณะ เห็นประโยชน์คนอื่น มันเห็นประโยชน์

คำว่าเห็นประโยชน์เพราะอะไร เพราะจิตใจนุ่มนวล จิตใจที่ควรแก่การงาน จิตใจที่มีเมตตาธรรม แต่จิตใจคนที่เอารัดเอาเปรียบมันเห็นแก่ได้ เอาแต่ได้ เอาแต่ความเห็นของตัว เอาแต่ผลประโยชน์ของตัว แล้วไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่ได้ประโยชน์ของตัว ดูสิ อาหารเราฉันไปแล้ว เดี๋ยวเราก็ไปถ่ายทิ้ง แล้วก็ฉันต่อไปข้างหน้า เวลาฉัน การกินการอยู่ การกิน การขับถ่าย มันเป็นเรื่องปกติของสิ่งที่มีชีวิต

นี่เหมือนกัน สิ่งที่เราได้มาก็แค่นี้ มันแค่นี้แล้วมันได้อะไรล่ะ? ได้มาด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ แต่บาปกรรมที่สร้างขึ้นมาสิ เห็นไหม มันสร้างบาป สร้างเวรสร้างกรรม มันบาดหมางหัวใจกันไป มีความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายกันไป ผูกพันกันไป เวรกรรมมันผูกพันกันไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่จองเวรไม่จองกรรมใครทั้งนั้น เขาทำสิ่งใดเขาได้ของเขาอย่างนั้น ถ้าใครทำสิ่งใดก็ได้อย่างนั้น

เราเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ เราเห็นเขาทำแล้วเขาสร้างเวรสร้างกรรม เราไม่สร้างไปกับเขา โลกเขาว่าคนคนนี้เป็นคนที่ไม่ฉลาด เป็นคนที่ไม่ทันคน คำว่าทันคน ทันกิเลสของตัวเองไหม เราไม่ทันคน แต่เราทันกิเลสของเรา เราไม่ทำสิ่งนั้น เราไม่ทำสิ่งใดที่สร้างเวรสร้างกรรมไป ถ้าไม่สร้างเวรสร้างกรรมไป โลกมันจะไม่เจริญสิ โลกเจริญๆ ด้วยการศึกษา เจริญด้วยผลงานไง ผลงานมันต้องมีสุจริตธรรม มันมีความสุจริต มีความเป็นธรรม

ถ้ามีความเป็นธรรม สิ่งที่สร้างขึ้นมา เขาเกิดมาเขามีอำนาจวาสนา เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จของเขาไปทั้งนั้นล่ะ ของเราทำนี่มีการฉ้อฉล มีการพลิกแพลง ทำของเราไปนี่ อันนั้นมันมีประโยชน์อะไร

มันไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดหรอก ทำงานจนเสร็จแล้วมันก็คือเสร็จ แต่ถ้าทำงานโดยสุจริต ทำงานโดยถูกต้องตามความเป็นธรรม สิ่งนั้นประสบความสำเร็จ มันเป็นบุญกุศลด้วย แต่เวลาทำสิ่งใดเป็นการฉ้อฉลไปหมด มันไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย นี่เวลาจิตใจของคนมันคิดคิดอย่างนั้น

ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ มันจะเห็นโทษของมัน ถ้าเห็นโทษของมันนะ คนที่มีจิตใจที่ต่ำทรามจิตใจที่เห็นแก่ตัว มันทำสิ่งใดมันมีเวรมีกรรม ดูสิ เวลาโลกเขาดินถล่มๆ เวลาดินถล่ม เขามีเวรมีกรรมของเขา นี่ดินถล่ม คนที่มีสติปัญญา คนที่ไม่ถึงคราวของเขา เขาหนีทัน เขาหนีได้ เขามีการแจ้งเตือนภัยนี่ เขาอพยพไปก่อน คนที่ไม่ยอมอพยพไป เวลาดินถล่มนะมันกลบไปเลย

คนที่หวังแต่ผลประโยชน์ คนที่คิดเอาแต่ประโยชน์ของตัว เวลาดินถล่มมันกลบไปเลย ตายหมด เวลาตายหมดนะ คนที่เขามีเมตตาธรรม เขาจะเข้าไปช่วยเหลือเจือจาน ดูสิ เวลาเกิดภัยพิบัติ แล้วคนที่เขาไปช่วยเหลือ พวกกู้ภัยนี่ ดินมันถล่มซ้ำนะ มันถล่มทั้งผู้ที่จิตใจหยาบช้า

ดินมันถล่มนี่ ดินก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดินคือมารไง มันถล่ม มันทำลายหมด แล้วคนที่คิดว่าจะไปช่วยเหลือเขา คิดจะไปเจือจานเขา เห็นไหม ถ้าเรายังไม่มีสติปัญญา เรายังมีเวรมีกรรมเหมือนกัน พอเข้าไปช่วยเหลือเขา ถ้าดินมันถล่มซ้ำมา มันรุนแรงมาก ตายหมดล่ะ เวลาตายหมดตายเป็นร้อยเป็นพันนะ แล้วคนเขาจะเข้าไปกู้ภัย เขาเห็นว่ามันถล่มจนแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ พอแก้สิ่งใดไม่ได้นะ เขาบอกว่า อันนี้ก็เลยให้เป็นสุสานไปซะ ปักเสาไว้ว่าที่นี่เป็นสุสาน มีคนมาตายเป็นพัน

เห็นไหม วุฒิภาวะแบบนั้น เราจะเห็นแต่ทางโลกไง เราจะช่วยเหลืออย่างเดียว ที่ว่าเราจะช่วยเหลือคนโน้น จิตใจเราเป็นสาธารณะ จิตใจเราเป็นธรรม การช่วยเหลือนะ การช่วยเหลือแบบครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม การช่วยเหลือเขา กับทำตัวของเราให้ดี ทำตัวของเราให้เป็นแบบอย่าง หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง แล้วถ้าเกิดมีอำนาจวาสนา ถ้าเขาอยากสนใจ เขาอยากประพฤติปฏิบัติ อันนั้นถ้าเขาพร้อมแล้ว เอาสิ ถ้าพร้อมแล้ว ไม่ได้นิมนต์ ไม่ได้เชื้อเชิญใครมา เขามาของเขา เขามาของเขาด้วยศรัทธาของเขา เขามาด้วยความตั้งใจของเขา ถ้าเขามาด้วยความตั้งใจของเขา เขาต้องขวนขวาย เขาจะเป็นคนขวนขวาย เขาจะเรียกร้องสิ่งใดไม่ได้ นี่ดึงฟ้าลงต่ำ

ประเพณี อริยประเพณี เวลาอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า เห็นไหม ธุดงควัตรเป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เป็นประเพณีเฉยๆ นะ ธุดงควัตรเป็นประเพณีของพระอริยเจ้า มันขัดเกลากิเลส คำว่า “ขัดเกลา” ไม่ได้ฆ่า พระเราบวชมามีศีล ๒๒๗ ธุดงควัตร ๑๓ จะถือก็ได้ไม่ถือก็ได้ ไม่ปรับอาบัติ แต่ถ้าศีล ๒๒๗ ถ้าใครทำผิดปรับอาบัติทั้งนั้น แต่ธุดงควัตรทำไมไม่ปรับอาบัติ มันอยู่ที่ความสมัครใจไง

ถ้าเราสมัครใจ เราอยากทำ เราเห็นคุณงามความดี เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าอยากประพฤติปฏิบัติ นี่เราเอาชนะตนเองไม่ได้ ดูกำลังสิ เห็นไหม หญ้าปากคอก เราสนใจอยากทำคุณงามความดีทั้งนั้น จิตใจเราปรารถนาจะทำแต่มันทำไม่ได้ เราปรารถนาจะทำคุณงามความดี เราปรารถนาจะทำความสงบของใจ เราปรารถนาจะให้จิตใจสงบ เราปรารถนาจะมีภาวนามยปัญญา เราปรารถนาจะเกิดปัญญาญาณเป็นดั่งดาบเพชร ดาบเพชรเข้าไปฟาดฟันกิเลส พอฟาดฟันกิเลสไป กิเลสมันตายไป ด้วยวิธีการประพฤติปฏิบัติ เวลากิเลสจะตายไป เห็นไหม พ้นจากทุกข์ๆ นี่แล้วมันก็มีผล ผลที่ตอบแทนคือวิมุตติสุข สุขที่เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ

เราก็ตั้งใจของเรา เราก็ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราเอาใจของเราเอาไว้ไม่ได้ล่ะ พอเอาใจของเราไว้ไม่ได้ มันก็ต้องไปเริ่มต้นที่เหตุไง ไปเริ่มต้นที่ความเริ่มต้น เราบวชมา บวชมาเป็นพระ ฆราวาสคฤหัสถ์เขาอยากประพฤติปฏิบัติของเขา ทางคฤหัสถ์เป็นทางที่คับแคบ เขาต้องมีหน้าที่การงานของเขา เขาต้องมีความรับผิดชอบของเขา ถ้าใครมีครอบครัวแล้วต้องอุปัฏฐากดูแลจนครอบครัวเข้าหลับนอนแล้ว มีเวลาแล้วแอบมาภาวนา ทางมันคับแคบๆ อย่างนี้

เราเป็นคฤหัสถ์ เห็นไหม ทางคับแคบเราก็มาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระมีศีล ๒๒๗ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาจะประพฤติปฏิบัติมี ๒๔ ชั่วโมงเลย ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ใครบวชมางานของพระก็ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตั้งแต่อุปัชฌาย์ท่านให้มาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม แทงทะลุมันให้ได้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แทงทะลุของเราให้ได้ งานของเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ให้มา ก็รับมาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราก็มาพุทโธๆ ของเรา มันไม่เห็นเอาใจไว้ได้เลย ทำก็ทำทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมจิตใจมันเอาไว้ไม่ได้ ถ้าเอาไว้ไม่ได้ นี่มีครูบาอาจารย์ท่านก็สอนแล้ว

ประเพณีของโลกเขา โลกเขามีประเพณีวัฒนธรรมของเขา เขาทำเพื่อวัฒนธรรมประเพณี เพื่อความสงบร่มเย็นของสังคม เราบวชมาเป็นสงฆ์ เป็นสมมุติสงฆ์ เราเป็นสังฆะ เราบวชมาแล้วเราอยู่ในวงกรรมฐาน หน้าที่การงานของกรรมฐาน เห็นไหม เช็ดบาตร ล้างบาตรแล้ว เก็บบริขารแล้วเข้าสู่โคนไม้ เสร็จภัตกิจแล้วเก็บบาตร ล้างบาตร เช็ดบาตร ผึ่งผ้าเรียบร้อยแล้วเราเข้าสู่โคนไม้ ใครได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ก็เข้าฌาน เข้าสมาธิ ใครได้ปัญญาก็เริ่มเดินปัญญาไป แล้วสิ่งนี้ทำไมเราเอาใจของเราไว้ไม่อยู่ล่ะ ถ้าเอาใจไว้ไม่อยู่ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ล่ะ พระที่เขาทำได้เขาทำได้เพราะอะไรล่ะ เพราะประเพณี เขาถืออริยประเพณี อริยประเพณีของใคร

ธุดงควัตร เอตทัคคะในทางธุดงค์คือพระกัสสปะ พระกัสสปะเลิศทางธุดงค์ ธุดงควัตรประเพณีของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าถือธุดงควัตร อันนี้มันขัดเกลากิเลส ขัดเกลากิเลสอย่างไร เวลาเข้าทางจงกรมแล้วก็สัปหงกโงกง่วง สัปหงกโงกง่วงเพราะอะไร เพราะกินอาหารที่เป็นมัน ฉันอาหารที่มีแต่ไขมัน ฉันอาหารที่มันหนักหน่วง เห็นไหม อาหารมีอาหารอย่างหยาบ อาหารอย่างกลาง อาหารอย่างละเอียด เราบิณฑบาตมาแล้วเราได้สิ่งใดมาเราก็คัดไว้ข้างบาตร เราก็ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ เวลาเข้าไปภาวนา

นี่ไง เวลาฉันเราก็ฉันพอดำรงชีวิต ดำรงชีวิตขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อเวลาเข้าไปทางจงกรมไง ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีของเรา เราไม่ผิดศีลผิดธรรม เราก็เป็นพระที่ดี พระที่อยู่ในศีลในธรรม อยู่ในร่องในรอย ประชาชนเขาก็หวังพึ่ง ท่านที่ประพฤติปฏิบัติ ท่านจะมีคุณธรรมมาส่งเสริมเรา ถ้าท่านมีคุณธรรมขึ้นมา เราทำบุญกุศลกับท่านได้บุญกุศล เราก็ปลื้มใจ แล้วท่านมีคุณธรรม ท่านปฏิบัติไปท่านมีเหตุมีผลมีมรรคญาณของท่าน ท่านชำระล้างกิเลสของท่านเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เผื่อเรามีความทุกข์ความยาก คนไข้ไปหาหมอ หมอควรมียามีธรรมโอสถเพื่อบำบัดบรรเทาความเป็นไข้ของหัวใจ ญาติโยมเขาก็ปรารถนา เขาก็หวังพึ่ง

พอหวังพึ่ง เราบิณฑบาตมา เราฉันอาหารนั้นแล้ว เพื่ออาหารอย่างกลาง อาหารอย่างหยาบ อาหารอย่างละเอียด ถ้ากิเลสมันครอบงำ เห็นไหม อ้าว! มันก็สิทธิของเรา มันถูกต้องชอบธรรมหมด ไม่มีอะไรผิดเลย แต่เวลาฉันไปแล้ว นี่ประเพณีทางโลก เห็นไหม โอ่ พระนี่ประพฤติปฏิบัติ เขาอุปถัมภ์อุปัฏฐากเพื่อจะเอาความมั่นคง ท่านจะได้ประพฤติปฏิบัติดีๆ ก็เอาอาหารอย่างดีๆ มาถวายพระ พอพระฉันเสร็จแล้ว นี่เจริญศรัทธาญาติโยม

เวลาเข้าไปทางจงกรม เดินจงกรมมันก็เซ มันจะล้ม เวลานั่งสมาธิหัวทิ่มดินเลย นี่แล้วอะไรจะต่อเนื่อง นี่ไง ก็ต้องมีอริยประเพณีไง ฉันมื้อเดียว ฉันหนเดียว ฉันพอประมาณ ฉันพอดำรงชีวิต หิวไหม? หิว ในเมื่อคนไม่เคยกระทำมันก็ธรรมดา ธาตุขันธ์มันเคยตัวมัน แต่เราฝึกได้ พอฝึกธาตุขันธ์ขึ้นมา มันรับรู้ของมัน เห็นไหม มันก็ผ่อนพลังงานที่ธาตุขันธ์ทับจิต

เวลาธาตุขันธ์ทับจิต พอเราเริ่มผ่อนของเรา ผ่อนเพื่ออะไร ผ่อนเพื่อเวลาไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันไม่ทรมานขนาดนี้ไง เวลาขบฉันมันก็มีรสแค่ผ่านลิ้นไปเท่านั้น แต่ด้วยสติปัญญาที่ไม่เท่าทัน มันก็สิทธิเสรีภาพ มันไม่มีผิดศีลผิดธรรม แต่อริยประเพณีเขาให้ผ่อนคลาย นี่ธุดงควัตร ๑๓ สิ่งนี้ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ พลังงานมันเป็นการส่งเสริมให้กิเลสมันแก่กล้าขึ้น นี่มันส่งเสริม

กินอิ่มนอนอุ่นมันจะคิดเรื่องอะไร มันก็คิดเรื่องเสพสุขทางโลกทั้งนั้น แต่ถ้าเราผ่อนคลายมันๆ สิ่งนี้เรายังไม่ปรารถนา สิ่งนี้เรายังไม่ต้องการ แล้วเราจะต้องการสิ่งใด เราต้องการความสงบระงับไง เราต้องการความสุข นี่อริยประเพณี อริยประเพณีมันส่งไปไหน ส่งไปสู่อริยทรัพย์ ส่งไปสู่สัจธรรม ถ้าเรามีสติปัญญาอย่างนี้ กิเลสมันจะไม่ปกคลุม มันไม่ครอบงำ เห็นไหม ไม่ให้ดินมันถล่มทับไง

เราก็มีสติปัญญา เห็นไหม เวลาฝนตกหลายวันหลายคืน ฝนตกต่อเนื่อง ดินมันต้องอุ้มน้ำ ต้องชุ่มด้วยน้ำ เราก็ระวังตัว เดี๋ยวถ้าดินมันถล่มมา ภัยพิบัตินี่ไม่มีใครจะมาคุ้มครองใครได้ นี่เหมือนกัน เวลาจิตใจเรามันนอนจมอยู่กับกิเลส แล้วเราออกบิณฑบาต เราบวชมา เราเป็นพระธุดงค์ แล้วจะทำสิ่งใดนี่ เวลาฝนมันตกดินชุ่มน้ำ ดินอุ้มน้ำ

นี่เหมือนกัน นิสัยฆราวาส นิสัยเคยกับทางโลก โลกเขากินกันสามมื้อสี่มื้อ เรากินมื้อเดียวมันก็ยอดคนอยู่แล้ว ทำไมต้องมาผ่อน นี่ฝนมันตกไง ฝนตกดินมันอุ้มน้ำ ไอ้นี่ก็ปรนเปรอมันไง ปรนเปรอมันให้มันพอใจ จะอยู่จะกินแบบสุขสบายไง อริยประเพณีเขามากั้นไว้ ฝนตกพอประมาณมันก็เป็นประโยชน์ พืชพันธุ์ธัญญาหารมันจะงอกงามของมัน ทุกอย่างเพื่อความสมดุล สิ่งใดถ้ามันสมดุลมันจะให้ผล เมล็ดพันธุ์ที่ดี ลงสู่ดินที่ดี น้ำที่ดี อากาศที่ดี มันจะแตกงอกงามของมัน

ประเพณีของเรา เราเคยตัวไง ประเพณีของกิเลสไง ฝนตกแดดออกมันเอาแต่ความสุขสบายของมันมา ฝนตกมากดินโคลนมันถล่ม เวลาน้ำหลากน้ำท่วม มันพัดพาทุกอย่าง ทำลายทุกอย่างเลย มันทำลายไปหมด โดยประชาชนทั่วไปก็มีความเห็นใจ ช่วยกันกู้ภัย ช่วยกัน อันนั้นมันเป็นภัยพิบัติทางโลก ทุกคนเห็นได้

แต่ภัยพิบัติของจิต มันเวียนว่ายตายเกิดมาเมื่อไหร่ จนมาปัจจุบันนี้มันมีสติปัญญาขนาดนี้ แล้วภัยพิบัติมันทำลายโลก ทุกคนเห็นทุกคนเจือจานได้ เวลาเราทุกข์ยาก เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สัปหงกโงกง่วงนี่เป็นความทุกข์ไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านก็ทำเป็นตัวอย่างไง ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ล่ะ แล้วเราทำอย่างไรล่ะ ถ้าเราทำอย่างไรเราก็ต้องมีสติปัญญา เรายังทำไม่ได้ก็ต้องมีอริยประเพณีให้เราก้าวเดินตาม

ถ้าเราก้าวเดินตาม เห็นไหม ธุดงควัตรเรามีความมั่นคงแค่ไหน เรามีความมุมานะแค่ไหน เราจะเอากี่ข้อ ถ้าเอากี่ข้อกิเลสมันโดนขีดวง มันมีการจำกัด มันดิ้นรนหมด นู่นก็ไม่ได้ ลำบาก นี่ก็ไม่ได้มันยุ่ง นี่ก็ไม่ได้ มันยุ่งไปหมด มันยุ่งเพราะอะไร มันยุ่งเพราะกิเลสมันโดนขีดวงไง แต่ถ้ากิเลสมันไม่ขีดวงนะ ทุกอย่างดีหมดเลย ทำอย่างไรก็ได้อยู่ที่กิเลสมันจะอนุญาตให้ทำ มันก็เหลวไหลอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องเอาใจของเรา เห็นไหม อริยประเพณี ธุดงควัตร แล้วเรามีสติปัญญา

นี่ให้ทำ พอทำไปนี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ผู้ที่ทำจะรู้เอง มันมีประสบการณ์ชีวิตนะ เราทำสิ่งใดมันเป็นประสบการณ์ของเรา นี่ประสบการณ์ของประเพณีวัฒนธรรม แล้วถ้าจิตมันสงบไป เห็นไหม มันประสบการณ์ของใคร มันเข้าสู่อริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันจะเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่สัจธรรมความจริง เวลาประพฤติปฏิบัติกันบอกว่าประพฤติปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ นั่นใครพูดล่ะ เวลาพูดออกมาใครอนุญาตให้พูด กิเลสทั้งนั้น

คำว่ากิเลส เพราะว่าคนมีอวิชชา มีความไม่รู้ พูดออกมาด้วยความไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดออกด้วยความไม่รู้ คนไม่รู้ไม่รู้คุยกัน มันก็สังคมไม่รู้ มันเป็นกระแสสังคมใช่ไหม แต่ถ้าคนเขารู้เขาสังเวช คนที่เขารู้นี่ สติปัฏฐาน ๔ มันเกิดที่ไหน สติปัฏฐาน ๔ นั่นมันก็เป็นตำรา มันก็เป็นชื่อทั้งนั้น สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันนั้นถึงจะเป็นแนวทางตามสติปัฏฐาน ๔

คำว่า สติปัฏฐาน ๔ มันต้องมีจิตสงบก่อน จิตนั้นเป็นผู้กระทำ ถ้าจิตนั้นเป็นผู้กระทำ ทำไมมันถึงกระทำล่ะ จิตมันจะกระทำได้ต่อเมื่อมันสงบ จิตของเรามันจะมีไหม คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีจิตทั้งนั้น มีความรู้สึกนึกคิด แล้วความรู้สึกนี้มันเกิดจากอะไรล่ะ นี่ไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ปฏิสนธิจิต ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นพลังงานที่รู้ มันเวียนว่ายตายเกิดนะ ดูสิ ตั้งแต่พรหมลงมา เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเวียนว่ายตายเกิดจนนับไม่ได้ แต่ละคราวๆ เป็นอสงไขยๆ เลย สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดสร้างสมมานี่พันธุกรรม จิตนี้ได้ตัดแต่ง จิตนี้ได้เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมให้พันธุกรรมที่มันเป็นประโยชน์ พันธุกรรมที่ให้จิตมีกำลัง จิตมีกำลังมันแยกไง พอจิตมีกำลังทำแต่ความดีๆ ไม่ทำบาปกรรม ในเมื่อทำแต่ความดีๆ จิตมันทำความดีมันพัฒนามาเรื่อย มันมีอำนาจวาสนา

พอมีอำนาจวาสนามา เห็นไหม ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส “เจ้าชายสิทธัตถะ ทำฌานสมาบัติได้เหมือนเรา เท่ากับเรา สั่งสอนใครก็ได้” อาจารย์ยกย่องนะ อาจารย์ยกย่องเลย ว่ามีความรู้เท่ากับอาจารย์ สั่งสอนใครก็ได้ จะแนะนำใครก็ได้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ ฌานสมาบัติมันก็แค่ทำความสงบของใจ พอใจคลายออกมาจากฌานสมาบัตินั้นมันก็กิเลสเหมือนเดิม ความรู้สึก เห็นไหม

นี่อำนาจวาสนาอย่างนี้ เกิดจากการบำเพ็ญตบะธรรมมา การบำเพ็ญมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ความบำเพ็ญอย่างนี้มา จิตใจเข้มแข็ง จิตใจมีปฏิภาณ จิตใจไม่เข้าข้างฝ่ายต่ำ ไม่เข้าฝ่ายโลกธรรม ๘ ยกย่อง สรรเสริญ แล้วคนที่ยกย่องสรรเสริญเป็นอาจารย์ของตัวซะด้วย มีลูกศิษย์ลูกหาพร้อมที่จะยอมรับด้วย แต่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธๆๆ นี่พันธุกรรมของจิตที่เข้มแข็ง

ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี เขาจะเอาความจริงไง เขาไม่ต้องการความยกย่องสรรเสริญ เขาไม่ต้องการให้ใครมารับประกัน เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ ปฏิเสธแล้วออกมาค้นคว้าทางไหนก็ไปไม่รอด ถึงได้มาระลึกถึงคราวที่อยู่โคนต้นหว้า

คราวอยู่โคนต้นหว้านะ เข้าอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออก นี่คิดถึงตรงนั้น อดอาหารมาแล้วมาฉันอาหารของนางสุชาดา ฟื้นฟูร่างกายขึ้นมา พอฟื้นฟูร่างกายขึ้นมากำลังมา อดอาหารมามันก็ได้กำลังจากการอดอาหารนั้นมา ท่านนั่งลงอยู่โคนต้นโพธิ์ “คืนนี้ถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ลุกจากที่นั่งเลย” จะยอมตายที่นั่นเลย เวลามันสมดุลนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เรียนจากใครมา เพราะมันไม่มี

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลามันเกิดความรู้ตามเป็นจริงเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกได้หมด ย้อนกลับอดีตได้หมด จุตูปปาตญาณไปได้หมด ไปก็ยังไม่ใช่ อาฬารดาบสรับรองแล้วก็ยังไม่ยอมรับ ไม่ยอมเชื่ออาฬารดาบส เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกอดีตชาติไปท่านก็ยังไม่เชื่อ ดึงกลับ ไปอนาคตจุตูปปาตญาณ แม้แต่อาจารย์ แม้แต่เขาเป็นศาสดา เขายกย่องสรรเสริญก็ไม่เชื่อ เวลาตัวเองประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเอาความจริงขึ้นมา เวลามันส่งไปอดีตอนาคตก็ไม่เชื่อ ดึงกลับ ดึงกลับ

เห็นไหม คนที่มีอำนาจวาสนา เพราะเขามีบารมี เขาได้สร้างสมบารมีของเขามา เขาไม่ได้เชื่ออะไรง่ายๆ นะ ไม่ใช่ใครมายอมรับอะไรก็เชื่อ เวลาความรู้ความเห็นตัวเองก็ไม่เชื่อ เวลาย้อนกลับมา ดึงกลับมา แล้วเวลาเกิดอาสวักขยญาณ มันทำลายอวิชชา ทำลายพญามารทั้งหมด นี่ไง วิธีการที่ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติจะให้พ้นจากทุกข์ๆ มันมีเหตุมีผล มีมรรคญาณ มีเหตุมีผลมีการกระทำ เพราะการกระทำ สิ่งนั้นสิ้นสุดไป เห็นไหม ถึงวิมุตติสุขพ้นจากการประพฤติปฏิบัติ พ้นจากการพ้นทุกข์

อันนี้มันเป็นสัจจะความจริง สิ่งที่เป็นจริงเพราะมีอำนาจวาสนามา จิตนี้เวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม ที่ว่าทำความสงบของใจๆ ทำความสงบของใจเพราะจิตให้มันสงบเข้ามา ดูสิ ดูเจ้าชายสิทธัตถะไปทำกับอาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นไหม สมาบัติ ๘ มันมีกำลัง มันส่งออก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางไว้ วางธรรมวินัย เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิกับสมาบัติแตกต่างกันอย่างไร

สมาธิคือความสงบของใจ สมาธิมันมีสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ ถ้ามิจฉาคือทำความผิดพลาด แต่จิตใจธรรมดา พลังงาน เห็นไหม มันใช้ถึงที่สุดแล้วมันก็อ่อนตัวลง เวลากิเลสมันขับดันไปขนาดไหน มันถึงที่สุดแล้วมันก็เบาตัวลง แล้วนี่เป็นสมาธิไหม แล้วถ้ามันไม่เป็นสมาธิโดยไม่มีสติปัญญาดูแลรักษามัน มันก็เป็นมิจฉาไง

นี่ไง ปฏิบัติธรรมแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ใครพูดล่ะ กิเลสมันพาพูด กิเลสอวิชชามันพาพูด ความไม่รู้ สังคมที่ไม่รู้มันพูดกัน ปฏิบัติในทางสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มันก็เป็นชื่อเป็นตำรา แต่เหตุและผลมันมีจริงหรือเปล่า ถ้าเหตุและผลมันมีจริง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรา กรรมฐานของเรา ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสั่งสอนมา ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติในการเป็นอยู่ของเรา เรามีข้อปฏิบัติขึ้นมาเพื่อรักษาพฤติกรรมของเรา พฤติกรรมถ้ามันไม่ไปเอายาพิษ ไม่ไปเอาสิ่งใดๆ เข้ามาปรนเปรอหัวใจ หัวใจมันก็ไม่มีอะไรสิ่งใดที่จะไปกระตุ้นมัน นี่คือข้อวัตรปฏิบัติ

แล้วถ้าเรามีศีลของเรา เรากำหนดพุทโธของเรา ถ้าจิตสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาแล้วจิตสงบ ถ้าเป็นมิจฉามันก็ไม่รู้ว่าจิตสงบเป็นอย่างไร จิตสงบแล้วรักษาอย่างไร แต่ถ้าเราฝึกหัดของเราโดยความชำนาญของเรา นี่พอจิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันเป็นสัมมา จิตสงบใครเป็นรู้ว่าสงบ มีสติ สติคือระลึกรู้ ระลึกรู้แล้วรู้ทันด้วย พอรู้ทันมันก็บริหารจัดการใจ บริหารจัดการว่าเราจะเข้าสมาธิอย่างไร พุทโธๆ ละเอียดเข้ามาเราก็รู้ เราไม่ทิ้งพุทโธของเราเข้ามา เพราะพุทโธมันเป็นคำบริกรรม มันกล่อมเข้ามา จิตใจมันกล่อมเข้ามาจนมันปล่อยวางเป็นขณิกสมาธิ ปล่อยวางเล็กน้อย มันก็คลายตัวออก คลายตัวออกมันก็ตื่นเต้น มันก็อยากได้อยากดี

นี่ข้อวัตรปฏิบัตินอกๆ เป็นของหยาบๆ แล้ว เพราะนั่นข้อวัตรปฏิบัติเพื่อเป็นการดำรงชีวิต แต่เวลาทำเข้ามา ละเอียดเข้ามา นี่มันเป็นกิริยาของใจแล้ว ทำงานที่ใจแล้ว พอทำงานที่ใจเราก็พุทโธต่อเนื่อง พุทโธซ้ำเข้าไปๆ จากขณิกสมาธิเข้าไปอุปจาระ อุปจาระมันก็ออกรู้ออกเห็น ออกนิมิต ถ้าเราพุทโธต่อเนื่องไป มันจะเข้าไปอัปปนา มันเข้าไปสักแต่ว่ารู้เลย แล้วมันคลายตัวออกมา เห็นไหม คลายตัวออกมาเพราะมันออกมาอุปจาระ อุปจาระนี่จิตมันสัมผัสความรู้สึกได้

ความสัมผัสความรู้สึก เวลามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่ไง สติปัฏฐาน ๔ มันไม่ใช่อยู่ในตำรา มันไม่อยู่ที่พระไตรปิฎก มันอยู่ที่จิตรู้จิตเห็น ถ้าจิตรู้จิตเห็นเพราะอะไร เพราะจิตมันสงสัยใช่ไหม เพราะจิตมันติดข้องใช่ไหม มาจากไหนก็ไม่รู้ ปัจจุบันนี้ก็ให้อารมณ์มันชักนำไปนำไปอยู่ เวลาตายไปแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน ถ้าสงบเข้ามามันก็รู้สึกตัวมันเองๆ นี่มันบริหารจัดการได้ ระลึกรู้ รู้เท่ารู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ จิตมันสงบเข้ามา

เวลามันไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง ใครเป็นคนเห็น สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นแบบใด สติปัฏฐาน ๔ เพราะจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ พอมันจับของมันได้ พอมันเห็นของมัน มันมีกำลังของมัน เห็นไหม นี่กายเป็นอย่างไร

เขาบอกว่า มันเป็นไตรลักษณ์ มันจะแปรสภาพของมันไป

อ้าว แล้วเวทนา? เวทนามันก็เป็นไตรลักษณ์

แล้วถ้าจิตล่ะ? มันเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเองแล้วใครรู้ล่ะ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นเองมันก็เป็นตำรา มันเป็นเช่นนั้นเองเราก็รู้ มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างค่าของเงิน ราคาก็เท่านั้น แต่คนที่หามันมาล่ะ อาชีพแตกต่างกัน อาชีพน่ะ เราทำวิชาชีพของเราแตกต่างกัน ผลของมันผลตอบแทนคือเงิน

นี่ก็เหมือนกัน เราพิจารณาเวทนา พิจารณากาย พิจารณาธรรมนี่ เราพิจารณาอย่างไร แล้วผลตอบแทนมันเป็นอย่างไร เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นอย่างไร ไตรลักษณ์นี้มันเป็นวิธีการ มันเป็นกระบวนการ กระบวนการของการประพฤติปฏิบัติ แล้วผลจากที่พิจารณาเห็นไตรลักษณ์จบสิ้นไปแล้วเป็นอย่างไร

พิจารณาเป็นไตรลักษณ์ แล้วมันปล่อยวางแล้ว มันทิ้งไตรลักษณ์ไปแล้ว มันข้ามพ้นไปแล้วมันเป็นอย่างไร มันเหลืออะไร พิจารณาอะไร พิจารณาขณะที่มันทำอย่างไร พอพิจารณาจบแล้วมันคืออะไร ขณะว่ามันคืออะไร พอจบแล้วมันปล่อยวางๆ พอเวลามันปล่อยวางนะ มันปล่อยวางด้วยปัญญา มันจะปล่อยวางมันต้องมีคนไปจับ ถ้ามันจะปล่อยวางมันจะปล่อยวางอะไร เราไม่ได้ติดข้องอะไรจะไปปล่อยวางอะไร

โดยปกติของเรา โดยการโฆษณาชวนเชื่อ ศึกษามาแล้วโดยโฆษณาชวนเชื่อ อ้าว ก็เราปล่อยวางหมดแล้ว ว่างหมดเลย อ้าว แล้วใครเป็นคนปล่อยวาง มันปล่อยวางแบบกำปั้นทุบดิน มันปล่อยวางแบบอารมณ์โลกไง เวลาเราทุกข์เรายาก เรามีสติมีปัญญา ใครมีจิตแพทย์ นักจิตวิทยาเขามาดูแล เขามาคุยด้วย มันสบายใจ ปล่อยวางๆ อะไร อย่างนี้ปล่อยวางอะไร

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม คำว่ามันจะเป็นตทังคปหาน จะเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ กว่าจิตมันจะสงบเข้ามา เราต้องล้มลุกคลุกคลานแล้ว เพราะเราจะเอาชนะตนเอง ดูสิ คนจะเป็นคนดีนะ เขาต้องมีวินัย วินัยการดำรงชีวิต เราต้องมีวินัยในการคลัง มีวินัยในการใช้เงิน มีวินัยในการใช้เวลา เขาจะควบคุมของเขา เพราะเขาเป็นคนดีเขาถึงมีวินัย

นี่เหมือนกัน ถ้าเขาหยำเป ทำอย่างไรก็ได้ เขาจะบริหารจัดการทรัพย์สมบัติของเขาอย่างไร นี่คำว่าคนดีกับคนชั่ว แล้วเวลาจิตใจของเรา สามัญสำนึกของเรามันก็เป็นอย่างนั้น แล้วสามัญสำนึก เราเข้าใจได้ เราวางได้ แล้วมันอะไร มันก็เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาทางโลกไง มันปัญญาโลกๆ

ปริยัติ ศึกษามาต้องศึกษา ศึกษามาทำไม ศึกษาแล้วมาวางไง ศึกษามาแล้วไม่ใช่เอามาเป็นสมบัติของเราไง ศึกษาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดีนะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เรียกค่าลิขสิทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ไม่มีกำมือในเรา แบหมด ให้บริษัท ๔ ฝากศาสนาไว้ ให้ค้นคว้า ค้นคว้าขึ้นมาจากความเป็นจริง พอเราศึกษามาแล้วเราเข้าใจ เข้าใจก็ซาบซึ้ง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งมากๆ ละเอียดลึกซึ้งไว้เป็นปริยัติ เป็นของพระพุทธเจ้า ยังไม่เป็นของเรา

ถ้าเป็นของเรา เราต้องขวนขวาย ที่เรามาทำกันอยู่นี่ เราจะไม่ให้ดินถล่มทับถมหัวใจของเรา แม้แต่ใจของเรา เรายังรักษาใจของเรายังไม่ได้ แล้วเราจะไปขุดคุ้ย ไปช่วยเหลือคนอื่น ไปแบกหามใคร เราต้องรักษาใจของเรา เห็นไหม ถ้าจิตสงบแล้วทำความสงบของใจ ใจมันสงบเข้ามาๆ สงบเข้ามามันก็มีผลแล้ว ดูสิ ทำหน้าที่การงานมันก็หวังเงิน หวังเงินมาเพื่อปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิต

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติมาก็ความสงบของใจ เพราะใจมันสงบ สุขอื่นใดเท่ากันจิตสงบไม่มี พอจิตสงบมันพออยู่พอกิน พออยู่พอกินหมายความว่า บวชมาก็คาดหมายไปร้อยแปดเลย ภาวนาไปแล้วจะเจอจินตนาการแบบนวนิยายไปหมดเลย เราคิดของเราไปตลอด เวลาจิตสงบเข้ามา ไม่เป็นอย่างนั้นเลย

จิตสงบก็คือจิตสงบ จิตเห็นนิมิต จิตเห็นสิ่งต่างๆ นั้นมันจิตส่งออก จิตสงบเข้ามามันไม่เป็นแบบที่คิด เพราะความคิด ความคาดความหมายไม่ใช่ความจริง เกิดความจริงขึ้นมาน่ะ งง เวลาไปตะครุบเงาน่ะเก่ง รู้ไปหมดว่านวนิยายอ่านเยอะ รู้หมด เวลาความจริงงง นี่อะไรครับ? นี่อะไรครับ? ก็นี่ใจของเอ็งไง ใจที่ทำให้เอ็งสงบไง ถ้ามันสงบได้ ก็จิตมันสงบไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบแล้วเวลามันคลายตัวออกมา นี่เศร้า กว่าจะได้มาเกือบเป็นเกือบตาย แล้วหายไปไหนก็ไม่รู้ เพราะมันเป็นนามธรรม

แล้วจะรักษาอย่างไร? เห็นไหม ถึงมีข้อวัตรปฏิบัติไง ครูบาอาจารย์เราท่านดูแลตรงนี้ ดูแลนี่ ถ้าเอ็งยังไม่ได้เอ็งก็ทุกข์ เวลาเอ็งได้มันเสื่อมไปนะ ของหายไปเอ็งยิ่งทุกข์ใหญ่เลย เวลาหาไม่ได้เอ็งก็ทุกข์ เวลาเอ็งหามาได้แล้วทำหาย ทุกข์อีก แล้วใครจะดูแลเอ็ง

แต่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นอย่างนี้มาก่อน การประพฤติปฏิบัติแนวทางมันเป็นแบบนี้ เพราะว่ากิเลสมันเจ้าเล่ห์ ใจของคนนี่มหัศจรรย์นัก เวลาคิดเรื่องดีๆ ดีจนแบบว่าเรามอบทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้คนได้เลย แม้แต่ชีวิตยังมอบให้ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพบูชาได้ด้วย แต่เวลามันร้ายนะ มันจะยึดครองโลก ชีวิตคนอื่นมันจะเอาให้หมด เวลามันร้ายมันร้ายสุดๆ เลย เวลามันดีมันก็ดีของมันเต็มที่เลย แต่ชั่วคราว เพราะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา มันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ มันเคยดีเคยร้ายของมัน แล้วคราวนี้มันปล่อยหมดเลย มันเป็นเอกเทศ มันเป็นอย่างไร แค่นี้ก็ทึ่งแล้ว แล้วเวลามันออกใช้ปัญญาแนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริงนะ มันขนพองสยองเกล้า

คำว่า ขนพองสยองเกล้า เพราะอะไร ใจดำ จิตใต้สำนึก เราไปเห็นความชั่ว ความยึดมั่นถือมั่นของกิเลส ดีเอ็นเอเขาต้องเอามาพิสูจน์ว่าดีเอ็นเอเพื่อเทียบเคียง อันนี้เราเข้าไปเห็นพญามาร เห็นกิเลสของเรา นี่จิตเราวิปัสสนามันจะรู้มันจะเห็นของมัน แล้วรู้เห็นจะคุยให้ใครฟัง ในตำราก็พูดไว้ในทางวิชาการ ไอ้เวลาไปเจอนี่จะไปพูดให้ใครฟัง

แต่ครูบาอาจารย์มาได้เลย ไปพูดให้ครูบาอาจารย์ฟัง นี่ต้นเหตุไง นี่เหตุและผล มันต้องมีเหตุมีผลมีวิธีการของมันไง ถ้ามีเหตุมีผลของมัน เห็นไหม เราจะไม่ให้ดินถล่มทับหัวใจของเรา เราจะไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากปกครองหัวใจของเรา แล้วถ้าเรามีคุณธรรมขึ้นมา เราจะไม่เอาธรรมของเราไปให้ใครเขาเหยียบย่ำ จะไม่เอาธรรมไปอวดคนโน้น อวดคนนี้ ให้เขาสบประมาทไง เขาสบประมาทว่า โอ่ ธรรมะเป็นอย่างนี้เหรอ โอ๊ย ธรรมะมันต้องพุทธพจน์ ไอ้นี่มันผิดเพี้ยน ไอ้นี่มันขาดสติแล้ว จะให้เขาเหยียบย่ำเหรอ เห็นไหม

ถ้าดินมันจะถล่ม เวลามารมันจะครอบงำหัวใจ นี่มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของกิเลสเป็นแบบนั้น กุศล อกุศล ธรรมชาติของมัน แต่เราจะมาต่อสู้กับมัน ทำลายวัฏฏะนี่ทำลายธรรมชาติเลย ทำลายวัฏฏะ วัฏฏะมันก็อยู่อย่างนั้น ทำลายวัฏฏะถ้าทำลายได้จริงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำลายตั้งแต่พรหมลงมา กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทำลายหมดเลย พวกเราจะได้ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด จะได้พ้นนิพพานไปเลย ไม่ใช่ สิ่งนั้นมันเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทำลายอวิชชาในใจ ทำลายกิเลสอวิชชาที่มันไม่รู้ ทำลายพญามาร มันทำลายที่นี่ไง มันถึงล่วงพ้นจากกามภพ รูปภพ อรูปภพ

นี่ไง ผลของวัฏฏะ คือธรรมชาติไง สิ่งที่มันเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่มันมีอยู่จริงไง แล้วเรามาทำลายเหตุที่จะต้องไปเสวยภพเสวยชาติ มันทำลายหมด มันทิ้งหมดเลย มันพ้นไปจากวัฏฏะ มันพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด มันจะพ้นได้ยังไง ถ้ามันไม่สำรอกไม่คาย เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เห็นไหม ให้มีความเมตตา อย่างทำร้ายอย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญที่สุดคือการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ ให้ทำลายป่ารกชัฏ แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ทำลายป่ารกชัฏ ตัดป่าให้หมดเลย แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว

นี่ไง ทำลายกิเลสมันไม่ได้ทำลายใครเลย มันไม่ได้ทำลายคนอื่นเลย มันทำลายพญามารในหัวใจของเรา ทำลายตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ เห็นไหม ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรมนะ ปัญญาคุณ เมตตาคุณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ให้พวกเราเมตตากัน ให้พวกเรารักกัน ให้พวกเรามีจิตใจที่ดีต่อกัน ไม่ให้ทำร้าย ไม่ให้เบียดเบียนกันเลย แต่เวลาจะสรรเสริญ สรรเสริญว่าการฆ่ากิเลสนี้ประเสริฐที่สุด เอวัง

P